WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

Gสมคด จาตศรพทกษ copyสมคิด` มั่นใจจีดีพี ปีนี้โตสูงแน่นอน หวังสศช.-ธปท.ปรับประมาณการเพิ่ม หลังตัวเลขส่งออกโตกว่า 13%

    สมคิด' รับพอใจตัวเลขส่งออกโต 13.2% สูงสุดในรอบเกือบ 5 ปี แต่ยังห่วงปัญหา ความเหลื่อมล้ำ การเข้าถึงดิจิทัล หวั่นไทยล้าหลัง พร้อมมีไอเดียเตรียมตั้งกองทุนทุกคลัสเตอร์ หวังมีผู้ประกอบการนวัตกรรมทั่วประเทศใน 5 ปี

      นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในงานดิจิทัลไทยแลนด์บิ๊กแบง 2017 ว่า ในปีนี้มั่นใจว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) จะขยายตัวสูงอย่างแน่นอน เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกสิงหาคม ที่กระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศตัวเลขขยายตัวถึง 13.2% และเป็นตัวเลขที่สูงสุดในรอบเกือบ 5 ปี ดังนั้น เชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

      “คงไม่ต้องบอกว่าตัวเลขจีดีพีจะเป็นเท่าไหร่ แต่มันดีแน่นอน และเราต้องเชื่อมั่น เดินหน้าไปด้วยกัน เพราะไม่มีอะไรที่น่ากลัวและต้องกังวลอีกแล้ว โดยมองว่าจากสิ่งที่รัฐบาลทำในช่วงที่ผ่านมานั้น จะทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 3-4 ดีขึ้นต่อเนื่อง และส่งผลให้ทั้งปีดีมากด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะขยายตัวดี แต่ยังมีสิ่งที่ไม่สบายใจ และห่วง เพราะเรารู้ปัญหาว่าประเทศไทยมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เพราะไม่ได้รับการแก้ไขเลยในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ว่ารัฐบาลใด”นายสมคิด กล่าว

       สำหรับ สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ จะมีทั้งระยะสั้น และระยะยาว เช่น ระยะสั้นและเร่งด่วน คือ การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ซึ่งมีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี ที่ต้องได้รับบรรเทาอย่างรวดเร็ว ภายใต้โครงการสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย รวมถึงกลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปีด้วย ขณะที่ประชาชนในกลุ่มอื่น จะต้องสร้างการเติบโตในระยะยาวได้อย่างไร เนื่องจากจะพึ่งพาการส่งออกอย่างเดียวไม่ได้ สิ่งที่จะต้องเร่งดำเนินการ คือ การพัฒนาผลิตภาพการผลิตจากในประเทศ ทั้งการสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง การนำการท่องเที่ยวกระจายไปสู่ชุมชน เพื่อหาช่องทางในรูปแบบใหม่ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างแบบเดิม เป็นต้น

       ขณะที่ภาคเกษตร จะต้องเปลี่ยนแปลง ยกระดับคุณภาพของสินค้า ไม่ว่าจะเป็น ข้าว ยางพารา เป็นต้น โดยการนำเรื่องเทคโนโลยี ดิจิทัลเข้ามาใช้ เนื่องจากหากยังทำในรูปแบบเดิม แ ละหวังการช่วยเหลือจากนโยบายของภาครัฐแบบที่ผ่านมา เช่น นโยบายจำนำข้าว ซึ่งเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนระยะสั้นเท่านั้น จะทำให้อยู่รอดไม่ได้ในระยะยาว

      “สิ่งสำคัญในระยะต่อไป คือ การสร้างเศรษฐกิจที่เติบโตจากภายใน ไม่ใช่จากการส่งออกอย่างเดียว แม้ว่าเราจะยินดีที่ส่งออกขยายตัวสูง แต่เมื่อมองไปที่กลุ่มอื่นๆ ยังรู้สึกว่าเศรษฐกิจยังไม่เติบโต เพราะทุกอย่างมันไม่ได้นำไปสู่การเติบโตแบบขยายวงกว้าง เนื่องจากประเทศไทยยังมีปัญหาที่น่าห่วง คือ ความเหลื่อมล้ำ ดังนั้น รัฐบาล เอกชน ประชาชน มหาวิทยาลัย จะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหานี้”นายสมคิด กล่าว

     ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลเศรษฐกิจและสังคม (DE) จะต้องเป็นหน่วยงานตั้งต้นที่สำคัญ เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ยุคดิจิทัลให้ได้ ซึ่งอยากฝากให้รัฐมนตรีประจำกระทรวงไปเร่งดำเนินการ เพราะเรื่องดิจิทัลที่ก้าวเข้ามาสู่ประเทศไทยนั้น เป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะคนไทยไม่เคยตื่นตัวในเรื่องดังกล่าวเลย โดยสิ่งที่ต้องดำเนินการ เช่น การเร่งขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตบรอดแบรนด์ให้เข้าถึงทุกหมู่บ้าน หรือโครงการเน็ตประชารัฐ ซึ่งจะเป็นการลงทุนเพื่อให้เกิดการต่อยอดการใช้ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ การศึกษา สังคม และสาธารณสุข โดยหวังว่า ในสิ้นปี 2561 จะมีอินเทอร์เน็ตบอร์ดแบรนด์ทั่วประเทศ 74,965 หมู่บ้าน ขณะที่สิ้นปีนี้จะขยายบอร์ดแบรนด์และติดตั้งจุดกระจายสัญญาณ ฟรี ไวไฟ หมู่บ้านละ 1 จุด ตามที่ประชาคมหมู่บ้านเป็นผู้กำหนด เพื่อให้บริการฟรี ครอบคลุม 24,700 หมู่บ้าน

      “การลงทุนเน็ตประชารัฐของประเทศไม่ใช่การเห็นไวไฟครบทุกจุด แต่สิ่งสำคัญ คือ การลงทุนจะต้องไม่สูญเปล่า จะต้องมีการใช้งาน มีกิจกรรมเข้ามา เพิ่มมูลค่าให้เกิดขึ้น ถึงจะเรียกว่าได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน”นายสมคิด กล่าว

      ขณะเดียวกัน ประเทศไทยที่มุ่งสู่ความเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของภูมิภาคอาเซียน โดยลงทุนขยายการเชื่อมโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ เพื่อสร้าง digital infrastructure เชื่อมโยงกับโลก เนื่องจากประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางการเชื่อมเส้นทางอื่นๆ ที่สำคัญ ทั้ง One-blet-one-Road ของจีน ดังนั้นการเร่งดำเนินการสร้างโครงข่ายดังกล่าวคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ทั้งนี้ กระทรวง DE จะต้องเป็นคนคิดโครงการ เพื่อนำไปสู่กระทรวงอื่นๆ นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง TOT และ CAT จะต้องมาดูงานไทยแลนด์บิ๊กแบง ในครั้งนี้ เพราะถือว่าเป็นครั้งสำคัญ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง

      “งานนี้ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องควรจะมา อย่าง DE ควรจดชื่อหน่วยงานของท่าน หากผู้บริหารยังไม่มางานนี้ ที่เราพยายามผลักดัน Go Digital และจะเข้าใจได้อย่างไร ดังนั้นให้เช็ครายชื่อเลย ทั้ง TOT CAT หากผู้บริหารไม่มาในวันนี้ ก็อย่าหวังจะเป็นผู้บริหาร”นายสมคิด กล่าว

      ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ประชุมเพื่อจัดตั้งคลัสเตอร์ไบโอโลจี ซึ่งจะทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ เปลี่ยนเป็นธุรกิจเริ่มต้นต่อ และจะร่วมผลักดันให้เกิดการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในอนาคตด้วย นอกจากนี้ ได้หารือกับนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานคณะกรรมการบริหาร ทรู คอปอเรชั่น (TRUE) เพื่อร่วมผลักดันกลุ่มคลัสเตอร์ใหม่ๆ โดยจะจัดตั้งกองทุนแต่ละคลัสเตอร์ เพื่อให้ประชาชนร่วมลงทุนกับภาครัฐได้ โดยหวังว่าประเทศไทยจะมีผู้ประกอบการเต็มทุกพื้นที่ เพื่อแข่งกับบริษัทขนาดใหญ่กว่า 500 บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ปัจจุบัน

      “ทุกสิ่งเป็นจินตนาการที่เราหวังว่า จะมีสตาร์อัพเนชั่นที่แท้จริง เราต้องการให้มีผู้ประกอบการเต็มพื้นที่ใน 5 ปีข้างหน้า เราจะต้องมุ่งมั่นให้เกิดขึ้น และมีการสร้างอาคาร Digital Park ThaiLand โดยขอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบต่อไป เพื่อให้เริ่มดำเนินโครงการได้ทันทีในปี 2561 เพื่อทำหน้าที่พัฒนานวัตกรรมที่จำเป็น ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและเครื่องมือสำหรับสร้างสรรค์นวัตกรรม โดยก่อนจะไปจุดดังกล่าว ทั้ง TOT CAT จะต้องทำเป็นตัวอย่างให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการเชื่อมโยงเครือข่าย ข้อมูลในรอบด้าน ครอบคลุม เช่นเดียวกับบริษัทขนาดใหญ่ อย่าง TRUE ที่ในปีหน้านี้จะเห็นการเชื่อมโยงข้อมูลได้ครบทุกรูปแบบ ซึ่งถือเป็นการนำระบบ big data มาใช้ในการทำธุรกิจ”นายสมคิด กล่าว

      นายสมคิด กล่าวว่า เบื้องต้น ได้หารือกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชุมนัดพิเศษ เพื่อให้ทุกกระทรวง นำเสนอว่าจะนำพากระทรวง หน่วยงานรับผิดชอบเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างไร รวมถึงจะนำเทคโนโลยีด้าน big data ในรูปแบบใดบ้าง โดยจะให้รายงานความคืบหน้าภายใน 3-6 เดือน

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!